“ ว่านหอม ” หรือ “ เปราะหอม ” ที่เคยได้ยินชื่อเสียงกันมานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องว่านศักดิ์สิทธิ์ ฤทธิ์เมตตามหานิยม เป็นเครื่องหอม เป็นสมุนไพร และเป็นอาหาร
" ว่านหอม " หรืออีกหลายๆชื่อที่เรียกกัน เช่น ว่านหอมมงคล เปราะหอม เสน่ห์จันทน์ หรือว่านอูด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Kaemferia galangal L. นิยมปลูกในแทบทุกจังหวัดของภาคอีสาน เพราะเชื่อว่าเป็นว่าศักดิ์สิทธิ์ทางเมตตามหานิยม มีพลังในการปราบมารหรือภูตผีปีศาจ โดยการขับไล่ผีของชาวอีสาน ในสมัยก่อนจะใช้ว่านหอมแช่น้ำ ให้คนไข้กิน และเชื่อกันว่าไม้ที่มีกลิ่นหอม เป็นไม้ของเทพ เป็นพืชมงคลจึงนิยมผสมใส่ลงในน้ำเพื่อสรงน้ำพระ สรงน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ และผสมในพระเครื่อง
ว่านหอมยังเป็นว่านมหาเสน่ห์ โดยนิยมเอามาปลุกเสก แล้วใช้เขียนคิ้ว ทาปาก หรือทำเป็นสีผึ้ง เพื่อให้รับความเมตตา ความรักใคร่เอ็นดูจากเพื่อนฝูง ญาติมิตร เจ้านายและเพศตรงข้าม นอกจากนี้ ยังนิยมใช้ในงานมงคลต่างๆ โดยเฉพาะงานแต่งงานอีกด้วย
สำหรับสรรพคุณในเรื่องของความสวยความงามนั้น “ว่านหอม” เป็นเครื่องหอมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยนิยมใช้หุงน้ำมันว่านหอม เครื่องปรุงกระแจะจันทร์ และอบร่ำประทินผิว
คนอีสานนิยมใช้ในการบำรุงผม โดยใช้ยาสระผมที่มีว่านหอม ผสมกับใบส้มโมง(ใบชะมวง) แน่งหอม(เร่วขน) เนียม ขมิ้น ต้มกับน้ำมวก(น้ำแช่ข้าวเหนียวก่อนที่จะนำไปนึ่ง) แล้วนำน้ำที่ได้มาใช้สระผมแทนยาสระผมทั่วไป ผมจะดกดำเป็นเงางามและมีกลิ่นหอม ซึ่งเป็นที่มาของตำนานนางผมหอมนั่นเอง นอกจากนี้ว่านหอมยังเป็นยารักษาอาการหนังศีรษะแห้ง หรือรังแคได้เป็นอย่างดี โดยโขลกว่านหอมทั้งหัวและใบ แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาใช้
ที่ผ่านมาทางมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ได้มีการรวบรวมข้อมูลการใช้สมุนไพรใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่า ผู้หญิงในแถบนี้นิยมใช้ว่านหอมทาหน้า แก้สิว ฝ้า ทำให้ผิวหน้าสดใส ว่านหอมจึงมีอีกคุณสมบัติเด่นคือ มีสรรพคุณในการรักษาผิวพรรณ แก้สิว ฝ้า นั่นเอง
นอกจากสรรพคุณในเรื่องของความสวยความงามแล้ว ว่านหอมยังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมากมาย อาทิ ใช้เป็นอาหารสำหรับบำรุงกระเพาะอาหารและลำไส้ ใบของว่านหอมสามารถนำมาปรุงเป็นอาหาร รับประทานเป็นผักแกล้มได้ หัว สามารถนำมาตำใส่เครื่องแกง หรือนำมาหั่นเหมือนกระชายใส่ผัดเผ็ดต่างๆ ใบอ่อนสามารถใช้ทำหมกปลาหรือใส่แกงปลาได้เช่นกัน
ใช้เป็นยาแก้ปวด บวม แก้อักเสบ ในสมัยก่อนมีการนำว่านหอมมาโขลกหรือทุบ ใส่น้ำพอชุ่ม แล้วเอาใส่ผ้าพันไว้บริเวณที่ปวด บวม ซึ่งการวิจัยในปัจจุบันพบว่า ว่านหอมมีฤทธิ์ลดการอักเสบ จึงนิยมใช้ทำลูกประคบ หรือเคี่ยวกับน้ำมันไว้ทาแก้ปวดเมื่อย โดยอาจใช้ว่านหอมอย่างเดียว หรือผสมสมุนไพรอื่นๆ เป็นต้น
ใช้เป็นยาแก้ปวดหัว คลายเครียด บำรุงหัวใจ ในสมัยก่อนจะใช้ว่านหอมในการรักษาอาการปวดหัวดิบ(การปวดหัวตึ้บๆ โดยทราบสาเหตุ) หรือมีความเครียด โดยจะโขลกว่านหอมทั้งหัวและใบ ใส่น้ำพอชุ่ม แล้วเอาไปชุบมาคลุมไว้บนหัว ซึ่งน่าจะเป็นการรักษาด้วยอะโรม่าเธอราปีแบบไทยๆนั่นเอง หรืออาจจะใช้เฉพาะหัว ตำ คั้นเอาน้ำไปผสมกับแป้ง หรือว่านหูเสือ ก็จะได้แป้งดินสอพองไว้ทาที่ขมับแก้ปวดหัว นอกจากนี้ยังมีการผสมลงในยาหอม เพื่อบำรุงหัวใจ บำรุงประสาท และมีการแนะนำให้ใช้หัวว่านหอมต้มหรือชงกิน เพื่อช่วยในการนอนหลับคลายเครียด
ใช้แก้ท้องอืด แก้ปวดท้อง โดยหมอยาทุกภาคทราบดีว่า ว่านหอมเป็นยาขับลม และแก้ปวดท้อง โดยการใช้หัวสดๆ คั้นน้ำหรือต้มกินก็ได้ จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า สารสกัดจากว่านหอม ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้เล็กคลายตัว และบรรเทาอาการปวดท้องได้
ใช้เป็นยาแก้หวัดคัดจมูก สำหรับเด็กเล็ก โดยหมอยาไทยในภาคกลาง จะใช้เปราะหอม โขลกสุมหัว(เอาไว้บนกระหม่อมเด็ก) แก้หวัด คัดจมูก และเชื่อว่าจะช่วยให้กระหม่อมเด็กปิดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า ว่านหอม มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการอักเสบ แก้ปวด ดูดกลืนแสงยูวี ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและรา เป็นต้น ดังนั้น คงได้มีผลิตภัณฑ์จากเปราะหอมเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิดในอนาคต เช่น ครีมกันแดดจากเปราะหอม หรือน้ำยาบ้วนปาก เป็นต้น
Cr.มูลนิธิโรงพยาบาลอภัยภูเบศร