โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ !!! อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งท้อใจไปนะคะ เพราะถึงแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถอยู่ร่วมโรคบนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขค่ะ ตราบใดที่เรายังสามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ตามเกณฑ์ ย้ำนะคะว่า...สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่เป็นโรคเลย ถ้าสามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ตามเกณฑ์ นี่คือเป้าหมายที่สำคัญค่ะ อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว หลายๆคนก็อาจจะสงสัยขึ้นมาในใจแล้วใช่ไหมหล่ะคะว่า.....เกณฑ์คือเท่าไหร่ แล้วต้องทำยังไงถึงจะถึงจะบรรลุเป้าหมาย แล้วถ้าไม่สามารถคุมน้ำตาลได้ตามเกณฑ์ โรคนี้จะมีผลเสียอะไรบ้าง ?
ก่อน อื่นเรามาทำความรู้จักกับโรคเบาหวานกันก่อนค่ะว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร โรคเบาหวานเกิดจากการที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้ หรือสร้างออกมาแล้วทำงานได้ไม่ดีพอ การทำงานของอินซูลิน คือทำหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายเพื่อสร้างพลังงาน ดังนั้นถ้าร่างกายผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอินซูลินไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาล ในเลือดสูงขึ้น ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยที่ไม่มีสาเหตุ ควรเจาะตรวจระดับน้ำตาลในเลือด โดยมีเกณฑ์ว่าถ้าเจาะหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง แล้วพบว่าน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มก./ดล. หรือสุ่มเจาะน้ำตาลในเลือดโดยที่ไม่ได้อดอาหาร แล้วพบว่าน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล. ก็จะถือว่าคนผู้นี้เป็นเบาหวาน แต่สำหรับคนที่ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง อยู่ในช่วง 100-125 มก./ดล. หรือสุ่มเจาะน้ำตาลในเลือดโดยที่ไม่ได้อดอาหาร แล้วพบว่าน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วง 140-199 มก./ดล. จะถือว่าคนผู้นี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน แพทย์อาจยังไม่เริ่มยา แต่ผู้ป่วยควรควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเพิ่มขึ้น
ทั้งคนที่ได้รับ การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานและเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน จะต้องควบคุมการรับประทานอาหารโดยลดการทานของหวานลง รวมถึงอาหารจุกจิก ขนมนมเนย และไม่กินมากกว่าที่ใช้พลังงาน เพราะพลังงานที่เหลือใช้จากการกินอาหารมากเกินไป ก็สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและไขมันในร่างกายได้ ในคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานแล้ว แพทย์อาจพิจารณาให้ยารักษา ซึ่งการรับประทานยาต่อเนื่องและมีการติดตามผลกับแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ ควบคู่การควบคุมอาหาร และออกกำลังกายด้วยก็จะทำให้เราควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามเป้าหมาย โดยเป้าหมายการรักษาเบาหวาน จะถือว่าได้ผลดีต่อเมื่อ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อยู่ระหว่าง 70-130 มก./ดล. เมื่อเจาะระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง หรือไม่เกิน 180 มก./ดล. เมื่อสุ่มเจาะน้ำตาลในเลือดโดยที่ไม่ได้อดอาหาร หรือเมื่อเจาะค่าน้ำตาลสะสม หรือที่เรียกว่าค่า HbA1c แล้วได้ค่าไม่เกิน 7% ซึ่งโดยปกติแล้วค่าน้ำตาลสะสม แพทย์มักจะเจาะตรวจทุก 3-6 เดือน เพื่อดูว่าระดับน้ำตาลของผู้ป่วยระหว่างวันที่ไม่ได้มาพบแพทย์นั้นสามารถควบ คุมระดับน้ำตาลได้ดีทุกวันสม่ำเสมอหรือไม่ ค่า HbA1c เป็นค่าที่ค่อนข้างแม่นยำ เพราะแสดงถึงน้ำตาลที่เกาะบนเม็ดเลือดแดง ซึ่งเม็ดเลือดแดงของคนเราก็จะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 120 วัน ค่า HbA1c จึงสะท้อนถึงค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดตลอดช่วงประมาณ 4 - 12 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ค่อนข้างดี เพราะมีผู้ป่วยบางคนเวลาแพทย์นัดเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว จะอดอาหารก่อนมาพบแพทย์ตามนัดล่วงหน้า 2-3 วัน ค่าน้ำตาลในเลือดก็สามารถลดลงมาได้ เหมือนทำให้ตัวเลขน้ำตาลดูดีขึ้นมาเพียงผิวเผิน ทั้งๆที่ก่อนหน้าไม่เคยควบคุมการทานอาหารเลย แต่ถ้าลองมาเจาะค่า HbA1C ก็จะพบว่ามีค่าสูง (นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของผู้ป่วยที่ชอบหลอกหมอนะคะ) หากผู้ป่วยสามารถคุมค่าน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมายแล้ว ผลดีที่จะเกิดขึ้นก็คือ สุขภาพที่แข็งแรงค่ะ ไม่เกิดโรคแทรกซ้อนที่มักพบตามมาในโรคเบาหวาน เพราะโรคเบาหวานเป็นเพชรฆาตเงียบค่ะ เหมือนจะไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่หากผู้ป่วยหลงระเริงปล่อยปละละเลยไม่สนใจ ยาก็ทานบ้าง ลืมบ้าง อาหารก็ไม่คุม เพราะคิดว่าไม่เป็นไร โรคนี้ก็จะค่อยๆ ชักชวนเพื่อนโรคอื่นๆ เข้ามากล้ำกราย เช่น โรคต้อกระจก โรคไต โรคชาปลายมือปลายเท้า โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต หรือเวลาเกิดบาดแผล แผลก็จะติดเชื้อหายช้ามาก บางคนถึงขั้นต้องสูญเสียอวัยวะ เช่นตัดขา เพราะเกิดแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย เพราะฉะนั้นไม่คุ้มกันเลยนะคะที่จะปล่อยให้โรคต่างๆ แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเรา ทั้งๆ ที่เราสามารถที่จะป้องกันได้ เริ่มตั้งแต่วันนี้ด้วยการคุมน้ำตาลให้อยู่ในค่าเป้าหมายแค่นั้นเองค่ะ
ที่ ต้องอธิบายเกี่ยวกับโรคเบาหวานมายืดยาว ก็เพราะว่าผู้ป่วยบางคนขาดความเข้าใจถึงความร้ายแรง หรือผลเสียของโรค ทำให้ละเลยการปฏิบัติดูแลตนเอง สำหรับใครที่สนใจจะทานสมุนไพรเพื่อรักษาเบาหวานก็ขอแนะนำว่าสมุนไพรเหล่านี้ เป็นเพียงทางเลือกเสริม โดยเฉพาะในคนที่ทานยาแผนปัจจุบันแล้วยังไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลง มาอยู่ในค่าเป้าหมายได้ การติดตามผลน้ำตาลและโรคแทรกซ้อน โดยการไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นค่ะ รวมถึงการแจ้งแพทย์เกี่ยวกับสมุนไพรที่เราเลือกใช้เสริมเข้ามา เพราะแพทย์จะได้พิจารณาปรับยาให้ผู้ป่วยให้ได้อย่างเหมาะสมค่ะ
4 อภินิหารผักฆ่าน้ำตาล
![]()
เป็น ผักที่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าช่วยในการลดน้ำตาลได้ จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานควบคู่กับการรักษา ด้วยยาแผนปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นพืชผักที่กินกันอยู่แล้ว หาได้ง่าย และมีความปลอดภัยสูง โดยผู้ป่วยอาจเลือกใช้ผักเหล่านี้ชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยอาจใช้สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ในคนที่คุมน้ำตาลได้ดีอยู่แล้วด้วยยาของแพทย์ อาจทานเพียงเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตกมากเกินไป
1.มะระขี้นก – มีผลกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสร้างกลูโคส ทำให้มีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้คือ คั้นน้ำจากผลสดมื้อละ 2-3 ผล โดยเอาเมล็ดในออก ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือนำเนื้อมะระผลเล็ก (มีตัวยามาก) ผ่านำเมล็ดออก หั่นเนื้อมะระเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำเดือด (มะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย) ดื่มเป็นน้ำชา ครั้งละ 1-2 ถ้วย วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือกินในรูปแบบแคปซูลครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง มะระขี้นก จะมีรสขมมากกว่ามะระจีน วิธีลดความขมของมะระขี้นกทำได้ด้วยการต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือประมาณหยิบมือ แล้วลวกมะระในน้ำเดือดสักครู่ จะทำให้ความขมลดลง มะระที่สุกแล้วจะมีสารซาโปนิน (Saponin) ในปริมาณมาก การรับประทานอาจทำให้มีอาการอาเจียน ท้องร่วงได้ ดังนั้นควรทานผลอ่อน ข้อควรระวังคือคน ท้อง เด็กและคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรกิน และควรรับประทานในปริมาณที่พอดี อย่าทำอะไรเกินเลย เพราะความขมจัดของมะระขี้นก อาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น
2.ช้า พลู – มีงานวิจัยพบว่าน้ำช้าพลูลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้ แต่ไม่สามารถลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายปกติได้ วิธีใช้ นำช้าพลูทั้งต้นตลอดถึงราก 1 กำมือ พับเถาเป็น 3 ทบ ใช้ตอกไม้ไผ่มัดเป็น 3 เปลาะ ใส่หม้อต้มกับน้ำพอท่วม ต้มจากน้ำ 3 ส่วน เหลือ 1 ส่วน กินครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร
3.ผัก เชียงดา มีผลช่วยป้องกันการดูดซึมของน้ำตาล ฟื้นฟูเซลล์ตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน และลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้ให้ใช้ใบแห้งชงกินเป็นน้ำชา ครั้งละ 4 กรัม วันละ 2-3 ครั้ง หรือทานเป็นผักในมื้ออาหาร
4.ตำลึง – มีการใช้เป็นยารักษาเบาหวานมานานนับพันปี จากการทบทวนผลการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลใน เลือดของทีมนักวิชาการจาก Harvard Medical School พบว่าตำลึงและโสม มีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลที่ดีที่สุดจากการที่มีการออกแบบการทดลองได้ อย่างเหมาะสม ตำลึงแสดงผลการลดน้ำตาลทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ตำลึงให้ผลลดน้ำตาลทั้งส่วนที่เป็นใบ ราก ผล โดยใช้เถาแก่ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงคนรอบข้างที่ดูแลผู้ป่วยเบาหวานอยู่นะคะ
แหล่งอ้างอิง
http://www.doctor.or.th/article/detail/11212
บันทึกแผ่นดิน 2 ผักเป็นยารักษาชีวิต โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
สมุนไพรเพื่อชีวิต พิชิตโรคภัย โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร